มายาการเงิน: ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจเอเชียปี 2557 = ยุโรป


มายาการเงิน: ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจเอเชียปี 2557 = ยุโรป (มายาการเงิน) - ช่วงเวลาต้นปีเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนเกือบทุกแห่งในโลกจะให้ความสนใจกับเรื่อง ภาพเศรษฐกิจมหภาค เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องของความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังในปีนี้ (2557)

มีหลายคนถามว่า ถ้าให้ผมพูดแค่ เรื่องเดียวว่า เรื่องไหนที่กังวลที่สุด ?การหมดไปของ QE ? หรือจะเป็นการเลือกตั้ง ที่จะเกิดในหลายประเทศในเอเชียปีนี้ ? เศรษฐกิจจีนที่อาจสะดุดล้ม ?

คำตอบของผม สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือ "ยุโรป"

ยุโรปมีปัญหาอีกแล้ว ?คำตอบคือ เปล่าครับ ไม่ได้มีสัญญาณเตือนภัยตัวไหนบอกเป็นพิเศษว่ายุโรปกำลังมีปัญหาหนักเหมือนปี 2554-2555 และไม่ใช่ว่าจะมีประเด็นเรื่องกรีซจะออกจากยูโรให้ปวดหัวกันอีกในปีนี้

จริง ๆ แล้วในทางกลับกัน ไม่ว่าใครก็มองว่า เศรษฐกิจยุโรปจะปรับตัวดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็ "ป่วยน้อยลง" จะเป็น IMF หรือนักเศรษฐศาสตร์ในสถาบัน การเงินชั้นนำ ก็คาดว่ายูโรโซนจะกลับมาเห็นการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ พลิกจาก ติดลบมานานมาเป็นบวกในปีนี้ เพราะมาตรการ "รัดเข็มขัดทางการคลัง" ชุดที่ หนักที่สุดของรัฐบาลต่าง ๆ ในยูโรโซน ที่มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้เศรษฐกิจ เขาหกล้มหกลุกมาใน 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น

สถานการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ได้ผ่านไปแล้ว

แน่นอนว่าปัญหาและอุปสรรคยังมีอยู่อีกมาก ทั้งอัตราว่างงานที่สูงมากจนทำให้ มีความเสี่ยงทางความไม่มั่นคงทางการเมือง ทั้งสุขภาพของภาคธนาคารที่เขากำลัง ตรวจเช็กกันว่าใครต้องได้รับความช่วยเหลือ เพิ่มทุนบ้าง และปัญหาใหญ่การรวมตัวเป็นสหภาพการเงินที่ไม่สมบูรณ์ที่ผมเคยอธิบายไว้ในบทความ "ยูโรโซน : สหภาพการเงินของจริง "Monetary Union" หรือหัวหอมใหญ่ "Onion" (กูเกิลหาอ่านได้ครับ)

ครั้งนี้ที่ผมจะเขียนถึงไม่ใช่เรื่องว่ายุโรป "มีปัญหาอย่างไร" แต่เป็นเรื่องที่ว่าในปีนี้และปีหน้ายุโรป "มีความสำคัญอย่างไร" ต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในเอเชีย

สองท่อเชื่อมเศรษฐกิจเอเชียกับโลกตะวันตก
ถ้ามองแบบง่าย ๆ เศรษฐกิจเอเชีย เชื่อมอยู่กับโลกตะวันตกด้วยท่อน้ำ 2 ท่อ คือ ท่อการค้า (Trade) กับ ท่อการเงิน (Capital Flows) เม็ดเงิน หรือ "น้ำมัน" ไหลผ่าน 2 ท่อนี้มาเป็นเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ 2 ตัว คือ การส่งออก และกำลังซื้อภายในประเทศ

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 และโดยเฉพาะวิกฤตยูโรโซน ปี 2554 ก็คือ ท่อแรกของการค้าเหือดแห้งไม่มีน้ำมันไหลมา เพราะเศรษฐกิจอเมริกาและยุโรปไม่มีกำลังซื้อ สถิติตัวหนึ่งที่น่าตกใจคือ ตั้งแต่ปี 2554 การส่งออกสินค้าของเอเชียโดยรวมใน 2 ปีกว่า ๆ จนถึง ปัจจุบัน แทบจะไม่ได้โตเลย แย่กว่า หลังการฟื้นตัวจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เสียอีก

ในขณะเดียวกัน การที่ธนาคารกลางของอเมริกาหรือ Fed กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบาย QE กับการกดดอกเบี้ยให้ต่ำมาก มีผลทำให้ต้นทุนของเงินตราดอลลาร์ถูกวิ่งมาหาที่ที่มีผลตอบแทน ดีกว่าในเอเชีย ทำให้ท่อการเงินนั้นเรียกว่า เกือบโอเวอร์โหลด

ผลที่เกิดขึ้นคือ มันทำให้นโยบายการเงิน และคลังในเอเชียค่อนข้างผ่อนคลาย กว่าปกติ ดอกเบี้ยจะขึ้นสูงก็กลัวค่าเงิน จะแข็งไป การคลังผ่อนไปก็ไม่มีใครว่า เพราะนักลงทุนต่างชาติอยากช่วยไฟแนนซ์ซื้อพันธบัตรรัฐบาลกันเหลือเกิน แย่งกันจนอย่างที่บอกว่าท่อนี้มันโอเวอร์โหลด สรุป ก็คือ "น้ำมัน" หรือเม็ดเงินที่มาจากท่อ การเงินมันมาเป็นพลังงานให้กับ "เครื่องยนต์กำลังซื้อในประเทศ" ของเราผ่านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอีกที

ถ้าถามว่าอันนี้ดีหรือไม่ดี ก็ต้องตอบว่า มันขึ้นอยู่กับว่าเงินที่ไหลเข้ามาถูกเอาไปใช้ ทำอะไร แต่ส่วนใหญ่ผมต้องขอเรียนตรง ๆ ว่า ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยเห็นรัฐบาลไหน ในเอเชียเอาเงินนี้ไปใช้อย่างมีประโยชน์ เช่น สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น จัดตั้ง ระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุม หรือการสนับสนุนนโยบายนวัตกรรมและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เท่าไร ที่จะมีก็อาจเป็นภาคเอกชนที่ฉวยโอกาสนี้ขยายตัว ทำ M&A ซื้อบริษัทในประเทศอื่น หรือ ในต่างภาคอุตสาหกรรมบ้าง

เราจึงเห็นว่าน้ำมันที่ว่านี้มักจะถูก นำไปใช้ในการ สร้างหนี้ ที่ไม่ค่อยก่อ รายได้กับ ปั่นราคาสินทรัพย์ ทั้งหลายจนเข้าขั้นฟองสบู่ ทั้งยังทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจในประเทศของเอเชียหลายแห่ง Overheat

อเมริกาคุมท่อการเงิน แต่ท่อการค้า พึ่งทั้งอเมริกาและยุโรป

สรุปคือท่อการเงินถูกคุมโดย Fed ของอเมริกาเกือบจะเต็ม ๆ และนโยบายของ Fed ก็ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของอเมริกา ซึ่งฟื้นตัวได้ดีกว่าในยุโรปมาก เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเริ่มทยอยผ่อน คันเร่งนโยบาย QE ซึ่งมีผลโดยตรง ทำให้เม็ดเงินที่เคยอัดเต็มท่อการเงินมาที่เอเชียนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว

ส่วนหนึ่งก็ดี เพราะเครื่องยนต์ในหลายประเทศนั้น Overheat อยู่ แต่อีก ด้านหนึ่งก็ทำให้เศรษฐกิจในประเทศรวมถึง ประเทศไทยชะลอตัวหนักและเข็นไม่ขึ้น อย่างที่ผมได้เคยอธิบายในบทความก่อนเรื่อง "การจะหมดไปของ QE แปลว่าอะไรสำหรับเศรษฐกิจอาเซียน" (กูเกิลชื่อนี้ หาอ่านได้ครับ)

ในทางกลับกัน ท่อการค้า นั้นพึ่งพาทั้งอเมริกาและยุโรปด้วยกัน และจริง ๆ แล้วสำหรับเอเชีย ยุโรปมีความสำคัญกว่าด้วยซ้ำ หากไปดูสถิติการค้าที่เจาะลึกของ WTO ว่าประเทศต่าง ๆ ในเอเชียพึ่งพากำลังซื้อของแต่ละภูมิภาคเท่าไหร่ รวมไป ถึงชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เราอาจจะส่งไปประเทศจีนเพื่อประกอบเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain และสุดท้ายถูกส่งไปขายให้ผู้บริโภคในยุโรปกับอเมริกา (เป็นการดูว่า "สถานีสุดท้าย" ของสินค้าเราอยู่ที่ไหน ไม่เหมือนสถิติการค้ากระทรวงพาณิชย์ประเทศ ต่าง ๆ ที่จะบอกแค่ "สถานีแรก" เท่านั้น ทำให้ประเทศจีนที่เป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรมดูสำคัญเกินจริง)

เราจะเห็นเลยว่ายุโรปนั้นเป็นตลาด ส่งออกที่สำคัญกว่าอเมริกา สำหรับประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียรวมทั้งไทยด้วย

เพราะฉะนั้น ต่อให้อเมริกาฟื้นตัวเร็ว ถ้ายุโรปไม่ค่อยฟื้น ไม่จำเป็นต้องหกล้มอีก แค่ไม่ค่อยฟื้นก็จะมีผลทำให้ "น้ำมัน" ท่อการค้านั้นไม่ไหลมา "เติมพลัง" ให้การส่งออกของไทยอย่างเต็มที่

ข่าวดีสำหรับอเมริกาอาจเป็นข่าวร้ายของเรา

ข่าวร้ายของยุโรปก็เป็นข่าวร้ายของเราสุดท้ายเลยกลายเป็นว่า ถ้าเศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้นอาจเป็นข่าวร้ายสำหรับเอเชีย เพราะแปลว่าท่อการเงินจะเหือดแห้งจากการถอน QE และสถานการณ์ที่แย่ที่สุด คือ ถ้าในขณะเดียวกันยุโรปไม่ฟื้น แปลว่า การส่งออกของเอเชียก็วิ่งไม่ออก กลายเป็นว่าทั้งท่อการค้าและท่อการเงินเหือดแห้ง ทำให้เครื่องจักรเศรษฐกิจเอเชียทั้งการส่งออกและกำลังซื้อในประเทศติดหล่ม

ในกรณีนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เงินสกุลต่าง ๆ ในเอเชีย รวมทั้งบาทจะอ่อนลงไปอีกเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยเฉพาะประเทศที่ขาดดุลการค้าอย่างอินเดียและอินโดนีเซียก็จะยิ่งเดือดร้อน เพราะต้องการเงินตราต่างประเทศมาช่วยไฟแนนซ์การขาดดุล ข้าวของก็ขายไม่คล่อง เงินทุนก็ไม่ค่อยไหลเวียนเข้ามา ทำให้ค่าเงินต้องอ่อนหนักกว่าเพื่อนบ้านเสียอีก

ส่วนประเทศที่จะมีภูมิคุ้มกันหน่อยสำหรับสถานการณ์โลกแบบนี้ คือ ประเทศที่ไม่ค่อยมีการใช้จ่ายเกินตัวเท่าไหร่ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา (เศรษฐกิจเลยไม่ค่อย Overheat มากนัก) และประเทศที่เศรษฐกิจมีสัดส่วนการส่งออกไปอเมริกามากกว่าไปยุโรป อย่างเช่น เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่นักลงทุนต่างประเทศนั้นให้ความสนใจกับเกาหลีใต้พอสมควรในปีนี้

สรุปปัจจัยเสี่ยงที่น่าห่วงที่สุดในปีนี้คือ "ยุโรป" จริงหรือ ?

ถึงตรงนี้แล้วคงพอเดาได้ว่า ที่ผมบอกว่าปัจจัยเสี่ยงที่สุดนั่นคือ "ยุโรป" แท้จริงแล้วเป็นการบอกทางอ้อมว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในปีนี้ คือ "ปัจจัยอะไรก็ตามที่ทำให้การส่งออกของเอเชียไม่ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกา"

แต่ที่อยากเน้นเรื่องยุโรป เพราะว่า หลายคนดูเหมือนจะหันไปโฟกัสที่การ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกามาก จนเหมือนลืมไปว่ายุโรปนั้นเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการฟื้นตัวของการส่งออก เอเชีย และถ้าการส่งออกไม่ฟื้น ก็แทบไม่มีทางที่เศรษฐกิจจะโตได้อย่างมีประสิทธิภาพในปีนี้

ส่วนอีกข้อหนึ่งที่ผมห่วงอยู่เหมือนกัน และอยากฝากไว้ก็คือ ที่การฟื้นตัวในโลกตะวันตกที่ผ่านมานั้น ยังไม่เน้นการลงทุนภาคธุรกิจ (Business Investment) เท่าไรนัก

ในอเมริกาภาคเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีเป็นเรื่องบ้าน พลังงาน (นำโดย Shale Gas) กับผู้บริโภค ในยุโรปแม้เศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้นบ้าง แต่ภาคธุรกิจยังซบเซาไม่ค่อยมีการลงทุน

ถ้าเทรนด์นี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในปีนี้ ก็น่าห่วงทีเดียว เพราะสินค้าส่วนใหญ่ที่ประเทศตะวันตกนำเข้าจากเอเชีย คือ สินค้าทุน หรือพวกเครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ ที่ขึ้นอยู่กับอัตราการเจริญเติบโตของการลงทุนภาคธุรกิจโดยตรง

สุดท้ายปีม้าปีนี้เราคงต้องเตรียมรับมือกับความเป็นไปได้ ที่ทั้งช่อง การค้า และ การเงิน จะฝืดทั้งคู่ ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียจะยังค่อนข้างอ่อนแอ แม้เศรษฐกิจโลกจะค่อย ๆ ฟื้นตัวแล้ว และค่าเงินที่น่าจะอ่อนลงอย่างต่อเนื่องเทียบกับสกุลดอลลาร์สหรัฐ

ฟังดูแล้วในทางเศรษฐกิจปี 2557 คงเป็นปี "ม้าเดิน" มากกว่า "ม้าวิ่ง" ของเอเชีย

โดย สันติ เสถียรไทย
Email: santitarn.sathirathai@gmail.com

Source: ประชาชาติธุรกิจ
Previous
Next Post »